ย้ า ย บ้ า น

พฤษภาคม 18, 2009

เราก็เข้าๆออกๆบ้านนี้และก็ยังเห็นเพื่อนๆ
แวะมาเยี่ยมเยียนกัน
เดี๋ยวจะงงว่าทำไมไม่อัพบล็อกซะที
ก็เลยอยากจะแจ้ง   ” ย้ า ย บ้ า น “   อย่างเป็นทางการค่ะ


ไปที่  “บ้านชิง”
chingchingzzz.exteen.com
ปล.มาเร็วๆๆ ช่วงนี้เราจะไปญี่ปุ่นกันเน้อ
ชิงชิงเอง

.


พายเรือมาหากันหน่อยนะ

เมษายน 2, 2009

เมื่ออาทิตย์ก่อนเรากระโดดขึ้นรถตู้
เหมือนที่พ่อๆแม่ และพวกผู้ใหญ่เค้าทำกัน เวลาต้องการเดินทางไกลไปไหนซักแห่ง
แต่เป็นการเดินทางคนเดียว ขับเองซะด้วย เพื่อความสะดวกตามใจสั่ง โดยไม่ต้องไปสั่งใคร
ในใจคิดแต่ว่าที่ไหนดีน้า สำรวจอยู่หลายพื้นที่ค่ะ ขับวนไปวนมาหลายรอบ
แวะเวียนเข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ
บางทีก็ถือวิสาสะเข้าไปในบ้านก็มี แต่เจ้าของบ้านเค้าเต็มใจค่ะ
เข้าไปเงียบๆไม่เอะอะ แล้วก็ออกมาอย่างเงียบๆ

และแล้วก็ไปเจอที่ที่หนึ่ง สวยมาก ล้อมด้วยธรรมชาติ อากาศเย็นสบายด้วย 
มีคลองเล็กผ่านหลังบ้านด้วย ซึ่งไหลแตกออกมาจากแม่น้ำสายไหญ่
ดีจัง จะได้ให้เพื่อนๆพายเรือมาเยี่ยมเยียนกัน
ฉะนั้นจึงตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่แหละ
จินตนาการไปถึงตัวบ้าน แปลนบ้าน สวน ระเบียง โถง ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องทำงาน 
แล้วต้นไม้อีกล่ะ เลี้ยงปลาในบ่อดีมั้ย
ความคิดล่องลอยไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ

และแล้วเมื่อสองวันก่อน
ก็ได้ไปที่นั่นอีกครั้ง พร้อมด้วยรถกระบะขนาดใหญ่บรรทุกไม้เนื้อแข็งมากมาย
และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการก่อสร้างค่ะ
ไม่รอช้า ขนของลงจากรถ ลงแรงลงมือตอกตะปู
ทำไปเรื่อยๆ แต่ใจร้อนค่ะ อยากให้บ้านเสร็จเร็วๆ
เพราะว่าตื่นเต้นมาก อยากจะเห็นมันเป็นรูปเป็นร่าง

และแล้วก็ต้องบอกกับตัวเองให้ใจเย็นลงนิดนึง
การสร้างบ้านให้ดีต้องไม่รีบร้อน
บ้านที่สร้างอย่างรีบร้อนจะร่มเย็นได้อย่างไร

เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็เลยคิดว่าอยากจะชวนเพื่อนๆมาเห็นบ้านหลังนี้สร้างไปพร้อมๆกันค่ะ
เพื่อลดความใจร้อนของเจ้าของบ้านด้วย
เวลามีคนมาเยี่ยมเยียน เจ้าของบ้านจะได้วางค้อน วางตะปู
มาหยิบจับแก้วน้ำเย็นๆ และผลไม้หวานๆ มาต้อนรับแขกแทน
ถ้าแขกสนุกกับการแวะเวียนมาชมโครงสร้างบ้าน และเจ้าของบ้านน่ารักๆละก็

ขอเชิญเลยค่ะ

อาจจะใช้เวลาซักหน่อยค่ะ และอาจจะต้องแวะมาหลายครั้งกว่าบ้านจะเสร็จ
มานั่งคุยกันได้ตลอด
แม้ในยามที่เราหน้ามันที่สุดก็จะถือน้ำแดงเฮลล์บลูบอยออกมาต้อนรับแน่นอน

 

 

ที่อยู่…

chingchingzzz.exteen.com

 

 

ปล. ถ้าหาไม่เจอละก็ ถามคนแถวนั้นว่ามาหา “บ้านชิง” นะ
.


เราร่าเริงนะเว๊ย

มีนาคม 26, 2009

หยง เพื่อนสมัยม.ปลายโทรมาหาแทบจะทันที เมื่อเราส่งแมสเสทไปหา
เราเล่าปัญหาให้ฟัง

“ มึงเป็นไรวะ ตอนเด็กๆไม่เห็นจะเครียด ทำไมทำงานแล้วเครียด ”

“จริงหรอ ตอนเด็ก เราร่าเริงใช่เปล่าวะ”

เราถามเพื่ออยากจะได้ยินว่าตัวเองเคยร่าเริง
(มันสำคัญมากเลย เวลาตัวเองอ่อนแอ ช่วยบอกกูเถอะว่ากูเคยสดใส)

“เออ ดิวะ”

เมื่อเพื่อนย้ำคำนี้ ทำให้เราถูกฉุดขึ้นมาจากตมที่ถมด้วยตัวเองจนจมอยู่ในนั้น
เรารู้สึกมีความสุขทันที 
แล้วคืนนั้นเราก็หัวเราะดังมากมากอีกครั้ง หลังจากไม่ได้หัวเราะแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว

 

 

ไม่มีใครไม่เคยทำพลาด
ไม่มีใครไม่เคยทำผิด
บางครั้งเราไม่ให้อภัยตัวเอง
เราต้องอภัยให้ตัวเองก่อน 
เรื่องนั้นผ่านไป  ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป จะอยู่กับอดีตเพื่ออะไร

 

ขอบคุณมากมาก การโทรมาของนายสำคัญกับเรามาก ระยะทางไม่ได้ทำให้ความเข้าใจน้อยลงเลย

 

“ร่าเริงแล่วววววววววว”

 

.


ไปที่ไหน ก็ต้องกลับบ้าน

กุมภาพันธ์ 2, 2009

 

“ ไม่มีที่ไหน น่าอยู่เท่าบ้านของเรา “

 

คำนี้เหมือนได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เด็กจนโต

 

เคยเข้าใจความหมายของมันแล้ว เมื่อครั้งยังเป็นเด็กและก็ลืมไปแล้วด้วย

คำนี้ดังก้องอยู่ในหัวของเราอีกครั้งหนึ่ง

 

“ ไม่มีที่ไหน น่าอยู่เท่าบ้านของเรา ..เท่าบ้านของเรา ..เท่าบ้านของเรา “

 

แม่เคยบอกว่าเราเป็นเด็กไม่ติดบ้าน ชอบออกไปเที่ยวข้างนอกบ้านบ้าง

กลับดึกบ้าง ไปต่างจังหวัดบ้าง

แม่ใช้ศัพท์เฉพาะว่า “ หายตัว ” กับพฤติกรรมที่เราอยู่ไม่ติดบ้าน

วิธีใช้ คือ “ ดูสิ ชิงมันกินข้าวเสร็จ มันก็หายตัว ” แม่บ่นกับน้อง

 

เป็นครั้งสองที่จากบ้านเป็นระยะเวลา ที่ไม่ใช่การไปเที่ยวแบบสามวัน เจ็ดวัน สิบเอ็ดวัน

ครั้งแรกเคยจากบ้านไปนานหนึ่งเดือนครึ่งเมื่อครั้งยังอยู่ม.4

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของการไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่เราไม่เคยไปมาก่อน ครั้งนี้ต่างจากครั้งแรก

ด้วยวัย ก็ปาเข้าไปวัยสาวระยะสุดท้ายละ และระยะเวลาก็นานกว่าถึงเจ็ดเดือน

การอยู่ที่ลอนดอน ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ตรงกันข้าม รู้สึกสบายด้วยซ้ำ

แน่นอนว่ามีดี มีไม่ดีต่างกัน

 

ขณะที่กำลังเดินออกจากเครื่องบินของสายการบิน Etihad เมื่อสิบเจ็ดชั่วโมงก่อน

เราเดินเข้าเครื่องบินจากลอนดอน เมืองที่ใครต่างก็พากันแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน

จนขวักไขว่กันไปหมด แต่ตอนนี้เรากำลังเดินออกมาจากประตูบานเล็กของเครื่องบินลำเดิม

แต่สถานที่เปลี่ยนไป ราวกับประตูไปที่ไหนก็ได้ของโดเรมอน แน่นอนก่อนมาถึงที่นี่

คำที่เราบอกกับโดเรมอนก็คือ “บ้าน”

 

ตอนที่ลุกขึ้นยืน ถือของ พะรุงพะรัง แต่ในใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

ทำให้รอยยิ้มนั้นซึมออกมาทางใบหน้า เดินผ่านแอร์โฮเตสคนสวยหลายๆคน

ทุกคนพูดว่า ”ขอบคุณค่ะ” เรายื้มให้ แล้วเราก็พูดว่า “ขอบคุณค่ะ” ด้วย

เครื่องบินลำนี้ มันจอดอยู่บนประเทศไทย พื้นแผ่นดินไทย

ที่ที่เป็นของเรา ก้าวแรกที่ก้าวลงจากเครื่องบิน มีพนักงานต้อนรับผู้โดยสาร

เธอพูดขึ้นมา “ สวัสดีค่ะ ” เป็นคำที่เสมือนกับว่า “ยินดีต้อนรับค่ะ ถึงบ้านแล้วล่ะ ”

เป็นคำสวัสดีค่ะที่มีความหมายมาก เป็นคำสวัสดีค่ะ คำแรกในวันนี้

แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ บนแผ่นดินของทั้งเขาและเรา น้ำตาจะไหล

แต่ว่าต้องกลั้นไว้ก่อน เดี๋ยวเค้าจะหาว่าบ้า ระหว่างทางที่เดินมา

ได้ยินคนพูดภาษาไทย รู้สึกว่าเพราะมาก เป็นภาษาที่น่ารักมาก

มองไปรอบๆ ตัวหนังสือภาษาไทย ไม่ได้เห็นแบบเยอะแบบนี้มานานแล้วอะ

หันไปดูรอบๆ ผู้โดยสารขาเข้า สายการบิน กระเป๋าเดินทาง ตรวจคนเข้าเมือง

มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เรารู้สึกดีมากๆเลย เดินมาถึงตรงที่ทางสนามบิน

ต้องตรวจคนเข้าเมือง ทางจะแยกเป็นสองฝั่ง เราเงยหน้ามองป้าย

หนังสือเดินทางต่างประเทศ หนังสือเดินทางไทย เราเดินเร็วขึ้น

เพราะความตื่นเต้น

 

หลังจากด่านนี้เราจะเข้าประเทศอย่างเป็นทางการ

 

เรานึกในใจถึงเวลาเจ็ดเดือน ไม่สิ ไม่ว่าเวลาจะนานแค่ไหน

ก็ต้องมีวันนี้วันยังค่ำ ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เที่ยวที่ไหน ทำงานที่ไหน อย่างไรก็ต้องกลับบ้าน

เราไปที่นู้นที่นี่ แต่เราไม่ไปที่บ้าน ทุกครั้งที่เราไปที่บ้าน เราไม่ได้พูดว่าเราไปที่บ้าน

แต่เราพูดว่า “ เรากลับบ้าน “

เพราะบ้าน..เป็นที่ของเรา

 

แม่และน้องชายโบกไม้โบกมือให้ตรงทางออก เรายิ้ม เดินเข้าไปกอด

“ กลับมาแล้วววว ”

 

.


The Soundtracks of My Love ของนิ้วกลม ปกใหม๊ใหม่

มกราคม 22, 2009

 

The Soundtracks of My Love ปกใหม๊ใหม่ ของนิ้วกลม มาแล้ววววววว!!!! วาเลนไทน์นี้จ้า

 

Photobucket

เด็กผู้ชายหัวภูเขา หลังจากดำเนินเรื่องแอบอยู่ในหนังสือมานาน

คราวนี้เราขอเชิญเค้าออกมาถ่ายปกเป็นครั้งแรก

พร้อมกับเป็ดเหลือง ทั้งสองเก้งๆกังๆ เขินๆ ทำอะไรไม่ถูก

จังหวะนั้น เราจึงรีบสเก็ตช์ภาพเก็บไว้ทันที

จึงออกมาเป็นปกครั้งนี้ >_<

 

ทั้งช่าง(วาด)ภาพ และนักแสดงก็ใหม่พอกัน

 

ยังไงก็ขอฝากเนื้อ ฝากตัวด้วยนะคะ

ชิงชิง


ยังวกวน วนเวียน เวียนวน

มกราคม 19, 2009

 
เมื่อเช้าอยู่กับเพื่อนๆ มหาลัย ที่โรงอาหารที่ไหนซักแห่ง
แบบว่ากำลังตื่นเต้นอยู่ นั่งไม่ติด
เพราะเพื่อนบอกว่าคนที่เราชอบ กำลังเดินมาที่โรงอาหาร
กรี๊ดกร๊าดกับเพื่อนใหญ่เลย
รู้สึกตื่นเต้นมากๆ กำลังคิดว่าจะพูดอะไรด้วยดี
เหมือนว่าเรารู้จักกันอยู่แล้ว
แต่ก็ตื่นเต้น และประหม่าทุกครั้งที่เจอ
เค้ามาแล้ว เรารู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย
( อ๋อ ต้องอธิบายก่อน เค้าเป็นคนดัง แบบว่าขวัญใจสาวๆ น้องๆกรี๊ดเพียบเลย
   ตอนที่เค้าจะเดินมาก็มีน้องกลุ่มนึง รอถ่ายรูปอยู่ด้วย )
เราตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหา แบบพุ่งตรงไปเลย
แต่เสี้ยววินาทีนั้น เราดันเปลี่ยนใจ เลี้ยวเข้าห้องน้ำหญิงซะงั้น
พลาดการทักทายครั้งนี้ อย่างน่าเสียดาย
ยืนอยู่ในห้องน้ำ ฟังเสียงสาวๆกรี๊ดเค้าอยู่
โอ้! พระเจ้า ชั้นทำอะไรอยู่ในห้องน้ำหญิงที่โรงอาหารนี่
การทักทายครั้งนี้อาจเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาลก็ได้
รู้สึกตัวออกจากห้องน้ำ ด่วนนนนนที่สุด
เค้าเดินไปแล้ว พร้อมกับกลุ่มสาวๆรายล้อม

 
เราสะดุ้งตื่น!

 

ไม่เอา!!!!!
ฝันหรอเนี่ย อยากจะร้องไห้
จะฝันต่อๆๆๆ
เราตัดสินใจนอนอีก
ดันฝันคนละเรื่องแล้วเนี่ย
ไม่ยอม นอนอีก ไม่อยากตื่นอะ
สรุป นอนไปมา สี่ชั่วโมงผ่านไป
เค้าไปแล้วไปเลย ไม่มีวี่แววการกลับมา

แง้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
.
.
.
แม้ในฝัน เราก็ยังชอบเธอ ไม่น้อยกว่าความเป็นจริงเลย
ความตื่นเต้น ความประหม่า เหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ว่าจะอยู่ในโลกใบไหน

นี่แหละน้า.. ความรู้สึกแอบชอบใครซักคน


ความสุขของฉัน เป็นของฉัน

มกราคม 11, 2009

 
“ If other people can make you happy…
  then they can also make you unhappy. ”
                                    Will,about a boy.

 

ในเรื่องอะเบ้าท์อะบอย (  About a boy ) ชายวัยหนุ่ม “ วิล ” (  Will )
นำแสดงโดยฮิวแกรนท์ (  Hugrant ) พูดประโยคนี้กับเด็กที่เป็นตัวเอกของเรื่อง
ซึ่งเด็กน้อยพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้แม่ที่ป่วย ( ทางจิตใจ ) ของเขามีความสุข

ชีวิตเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง

ความสุขก็เช่นกัน

ถ้าเราทำตัวเหมือนในเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน เราก็คงเป็นเด็กตลอดกาล
บ่อยครั้งเราโทษพ่อแม่ เราโทษเพื่อนบ้าน เราโทษครู
เราโทษสถาบัน เราโทษดินฟ้าอากาศ
การทำแบบนั้น เราเอาตัวเราไปขึ้นอยู่กับคนอื่น สิ่งอื่น
เหมือนเราพูดว่า “ ฉันจะมีความสุขไม่ได้ ถ้าวันนี้ฝนตก “
คนที่มีความสุข เขาไม่โทษดินฟ้าอากาศ
เขาไม่สนใจด้วย
ซ้ำว่าฝนจะตก แดดจะออก น้ำจะท่วม
ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น คนพวกนั้นก็มีความสุขได้
บางทีเราก็เป็นแบบนั้น แบบเด็กในเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน
เรายกความสุขของเราเองให้กับคนอื่น สิ่งอื่น
เราทำแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา
ถึงจะรู้แบบนั้นก็ตาม แต่บางทีเราก็หลงลืม โทษสิ่งอื่น และก็ให้อำนาจสิ่งนั้น
มาทำให้เราสุข หรือทุกข์

อย่างสองวันมานี้ เราป่วย เรามึนหัว เราไข้ขึ้น เราเจ็บคอมากเลย
เวลากลืนน้ำลาย ความเจ็บจะสะเทือนถึงหู
เราเริ่มโทษโรคภัย โทษว่าทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข
แต่พอเราตั้งสติดีๆ เรากลับมองเห็นสิ่งที่ดีมากๆในการที่เราป่วย เป็นเวลาสองวัน
( พรุ่งเราจะหายแน่นอน บ๊ายบายโรคหวัด คิดภาพไว้แล้ว หมดเวลาของพวกแกแล้ว 55555)
คือ เราเข้าใจคนที่ป่วย ว่าเขารู้สึกยังไง เราเข้าใจจริงๆ เพราะเราป่วยเอง
เราจะเข้าใจมากขึ้น เวลาพ่อ แม่ หรือเพื่อนเราป่วย ว่าเราจะคอยช่วยเหลือ
เวลาเขาป่วย และคอยเข้าใจ เวลาเขาหงุดหงิด
และเราก็ได้ใช้เวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ดู DVD สองสามเรื่อง
หัดเซ็นต์ลายเซ็นใหม่ด้วยนะ จิบชาร้อนๆ ทำตัวขี้เกียจๆ 
เพราะเวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียง
เวลาทั้งสองวันมานี่ เราก็มีความสุข สุขมากเสียด้วย

เราไม่ยอมยกความสุขของเราให้กับเจ้าโรคหวัดแน่นอน
เราไม่ให้อำนาจมันมาจัดการกับความสุขของเรา ( ร่างกายก็พอแล้ว )
จะมีประโยชน์อะไรกันเล่า ถ้าป่วยกายอยู่แล้ว แล้วต้องซ้ำเติมตัวเองให้ต้องป่วยใจอีก

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เราต้องตัดสินใจก่อนว่าเราจะมอบความสุขของเราให้ขึ้นอยู่กับเรา หรือคนอื่น สิ่งอื่น
ถ้าคำตอบเป็นอันแรก
งั้นเราก็เริ่มมีความสุขแล้วล่ะ…^_^
.


มากกว่าเป้าหมาย

มกราคม 5, 2009

 

 

ในหนังสือคลาสสิคของแฟรงเคิลเรื่อง Man ‘s Search for meaning
เขาได้ศึกษาชีวิตในค่ายกักกันระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง 
เขาได้คำนวณจำนวนผู้รอดชีวิตจากความโหดร้ายในค่าย
พบว่ามีเพียง 1 ใน 28 คนที่ยังมีชีวิตรอด
เขาศีกษาเป็นรายบุคคลว่าเหตุใดคนเหล่านั้นถึงรอดชีวิต
เขาสังเกตเห็นว่าผู้รอดชีวิตไม่จำเป็นต้องแข็งแรงที่สุด
หรือได้กินอาหารมากที่สุด หรือฉลาดที่สุด
สิ่งที่เขาค้นพบคือ ผู้รอดชีวิตเหล่านั้นล้วนมือเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ต่อไป
พวกเขามีเป้าหมายในกรณีของแฟรงเคิล
ความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาคือเขาอยากเห็นหน้าภรรยาอีกครั้ง
ผู้รอดชีวิตคนอื่นๆก็มีเป้าหมายต่างกันไป ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญของเขา®

เป้าหมายทำให้เรามีพลังชีวิตที่จะอยู่ต่อไปได้
ทำให้เรามีพลังที่จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมาย
แต่ก่อนถึงเป้าหมายเราได้เรียนรู้อะไรมากมายกว่าเป้าหมายอีก

อย่างในกรณีข้างบนเราว่าเขาก็ต้องอดทน ประนีประนอม ยืดหยุ่น อาจจะต้องใจเย็น รอคอย และมองโลกในแง่ดี
ถ้าเขาไม่เคยอดทน เขาคงต้องอดทนมากขึ้น
ถ้าเขาไม่เคยประนีประนอม เขาคงต้องเรียนรู้เพื่อจะประนีประนอม
ถ้าเขาไม่เคยยืดหยุ่น เขาคงต้องทำมันให้มากขึ้น
ถ้าเขาเป็นคนใจร้อน เขาคงต้องฝึกใจเย็น
ถ้าเขาไม่ค่อยรอคอย เขาคงต้องเริ่มรอคอย
ถ้าเขามองโลกในแง่ร้าย เขาคงต้องมองโลกในแง่ดี
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ก็เพื่อที่จะรอดชีวิตกลับมาให้ได้

ทำให้เราได้นึกถึงตัวเอง
เป้าหมายใหญ่ที่สุด อาจจะไม่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นรูปเป็นร่างที่สุด ที่นึกออกก็คือ
การเอ็นทรานซ์ เราไม่ได้ได้แค่การเอ็นติดอย่างเดียว
เรากลายเป็นเด็กขยันขึ้น นอนดึกขึ้น อดทนขึ้น ตั้งใจขึ้นและฉลาดมากขึ้นด้วย
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเราไม่มีเป้าหมายว่าจะเอ็นทรานซ์ให้ติด
เราก็คงไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นอะไรเลย

ซึ่งเป้าหมายอาจจะสำเร็จหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับเรามีเป้าหมายรึเปล่า
และเรามุ่งมั่นตั้งใจจะทำอะไรก็ตามให้ไปถึงเป้าหมายนั้นรึเปล่า
และเป้าหมายก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่าการที่เราจะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบใด

ตอนนี้เรามีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาภาษาอังกฤษ และการเปิดโลกกว้าง
ซึ่งการพัฒนาภาษาอังกฤษ แน่อนเราต้องพัฒนาอยู่แล้ว
แต่เราเพิ่งสังเกตว่าเราได้พัฒนาความกล้าในตัวเราด้วย เราต้องกล้าที่จะพูดออกมา
กล้าที่จะยกมือถามเวลาฟังอาจารย์พูดไม่รู้เรื่อง แล้วขอให้เขาพูดใหม่
เราชื่นชมตัวเองทุกครั้งเวลาเรายกมือขึ้นแล้วบอกว่าเราฟังไม่เข้าใจ
เราต้องเขียน Essay สัปดาห์ละครั้ง อาจจะเป็นเรื่องสั้น หรือบทความ
เราพยายามเขียนให้สนุกทุกครั้ง เพื่อให้อาจารย์อยากอ่าน
เราพยายามอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะในการอ่าน
( ก็ที่นี่ไม่มีหนังสือภาษาไทยขายด้วยนี่นา ) ( คิดถึงหนังสือภาษาไทยจัง )
เราพยายามดูหนังแบบไม่มีคำบรรยายภาษาไทย

สิ่งที่เราได้จากการกระทำทั้งหมด คือเราพัฒนาแน่นอน
แต่หลายอย่างที่เราได้ระหว่างไปถึงจุดหมายมันเซอร์ไพร์มาก  คือ…
เราค้นพบว่าเราเขียนเรื่องสั้นได้ดี และเราชอบอ่านนิยายคลาสสิค
อันแรกเกิดจากการเขียนส่งอาจารย์ทุกสัปดาห์ และได้รับคำชม
และอันหลังเกิดจากการพยายามอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ
โดยเริ่มจากการลองอ่านนิยายดูก่อน ซึ่งทั้งสองอย่างเกิดจากเป้าหมายอันแรกสุดคือ
การพัฒนาภาษาอังกฤษ ทำให้เราได้ค้นพบตัวเองในแง่มุมที่เราไม่เคยรู้มาก่อน 
เราตั้งใจมากขึ้น เราพยายามมากขึ้น รวมทั้งความกล้า เราได้พัฒนาความกล้าในตัวเราไปอีกระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน

 

เหมือนที่บักมินสเตอร์ ฟูลเลอร์เคยบอกไว้ว่า

 

 “ เราจะได้อะไรอีกมากมาย นอกเหนือจากเป้าหมายที่แท้จริง ”

 

.


บ๊ายบาย2551

ธันวาคม 31, 2008

 

 

วันสุดท้ายของปีนี้แล้ว

รู้สึกตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้ เป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่เงียบ เรียบ แค่ยิ้มๆ

แบบว่าเรามันเป็นพวกชอบวันรื่นเริง ก็เลยมีความสุขไปด้วย

ที่นี่ยังเช้าอยู่เลย ทุกอย่างดูสงบสุดๆ เพราะเค้าฉลองคริสมาสต์ไปแล้ว

ทำให้ไม่ได้กระโตกกระตากมากกับวันปีใหม่

เห็นทีเราจะตื่นเต้นอยู่คนเดียว

 

หนึ่ง.บ้านใหม่อีกครั้ง ห้องใหม่อีกครั้ง

ใช่ วันนี้ต้องจัดห้องก่อน เพื่อต้อนรับปีใหม่

การจัดห้องเหมือนเป็นประเพณีที่ต้องทำทุกปี (ห้องนอน) และจัดบ้านด้วย

ปกติต้องทำตอนวันขึ้นปีใหม่ของคนจีน คือวันตรุษจีนนั่นเอง

ทุกคนจะช่วยกันทำความสะอาดบ้าน ก่อนวันตรุษจีน พอถึงวันตรุษจีน

วันนั้นจะห้ามกวาดบ้านเด็ดขาด

เพราะชาวจีนมีความเชื่อว่าถ้ากวาดบ้านวันขึ้นปีใหม่ จะถือว่าปัดกวาดความร่ำรวยออกไป

จะต้องไปบ้านญาติๆ ไปเยี่ยมเยียน ผู้ใหญ่ก็ไปให้พร ให้เงินด้วย (อั่งเปานั่นเอง)

เด็กๆก็ไปรับพร พร้อมกับรับซองอั่งเปา

วันนั้นจะต้องถามม๊าว่า “ แล้วอาบน้ำได้อะเปล่าอะ ม๊า ”

“ อาบได้ดิ จะบ้าหรอ ” ม๊าตอบแบบว่าลูกชั้นมันไม่รู้จริงๆหรอ

“ ก็ม๊าไม่ให้กวาดบ้านหนิ เค้าก็กลัวว่าถ้าอาบน้ำ เงินทองจะไหลออก-

เพราะมันก็เป็นการทำความสะอาดเหมือนกัน ” เราบอกเหตุผล

“ แค่ไม้กวาดน่ะ ห้ามปัดกวาด เช็ดถู..  ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนวันปีใหม่ ”

ม๊าขยายความ

“ แล้วถ้าเค้าทำแก้วแตกอะ ไม่ต้องเก็บกวาดใช่เปล่า เพราะถ้าเก็บกวาดก็ต้องใช้ไม้กวาด ”

พอถามจบเราก็จะวิ่งไปให้ไกลม๊าที่สุด เพราะไม้กวาดด้ามนั้นอาจจะลอยมาได้

 

เห็นมั้ยปีใหม่สนุกจะตาย

 

สอง.อะไรไม่ใช่ของเรา ก็ต้องคืนเค้า

กลับมาที่ปีใหม่สากลกันต่อ

ด้วยเหตุนี้ทำให้ติดนิสัย จัดห้องก่อนวันปีใหม่สากลด้วย และรวมทั้งปีใหม่ไทยอีกครั้งนึง

(เอ๊ะ ชักจะโรคจิตนะเนี่ย)

อ้อ คอมพิวเตอร์ด้วย ต้องเคลียร์ข้อมูล

อีกเรื่องก็คือต้องเคลียร์หนี้สินให้หมด

เพราะเรื่องนี้ป๊าสอนมา ไม่มีการติดหนี้สินกันข้ามปี ไม่งั้นจะถือว่าปีหน้าก็จะเป็นแบบนี้อีก

แล้วไม่เบียดเบียนคนอื่นข้ามปีไปอีกด้วย

ว่าแล้วเหมือนนึกได้ว่าติดเงินเพื่อนอยู่สองปอนด์อะ

ทำไงดี วันนี้ไม่เจอมันแล้วด้วย เซ็งเลย นึกไม่ออกยังจะดีกว่า

เซ็งจริงนะเนี่ยยยยยยยยยยยยยย

คิดออกแล้ว .. เดี๋ยวโทรไปขอมันดีกว่า ให้มันให้เลย

 

เอ่อ วิธีนี้เข้าท่าแฮะ

 

สาม.ทำบุญ ทำทาน คิดดี พูดดี ทำดี

อันนี้ก็ทำเหมือนกัน

แต่นึกๆดูเหมือนทำแค่วันปีใหม่วันเดียว ซะงั้น ไม่ควรๆ

 

สี่.จบตอน2551ได้

จะว่าไปแล้ว ปีนี้มีสีสันโคตรโคตร อาจจะเป็นสีจัดตลอดปี มีสีดำสุดๆอยู่หนึ่งแต้ม ตอนต้นปี

แต่ตอนนี้กลายเป็นสีส้มแล้ว ตอนนี้เป็นสีเหลือง เหลืองทองด้วย

(แรดไง อยากจะเป็นสีทอง ปนระยิบระยับด้วยยิ่งชอบเลย)

อยากเป็นสีเหมือนแสงแดดตอนเช้า มันเป็น ” สีทอง ”

ชอบบบบบบบบบบบบบบบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 

ห้า.ตั้งเป้าดวงดาวดวงใหม่

ปีหน้ามีโปรเจคอยู่อันนึง ตื่นเต้นมาก เป็นอันใหญ่สุด ตื่นเต้นสุด กระเทือนชีวิตสุดๆ

ห้าห้าห้า อีนี่ก็เว่อร์ พูดอย่างกับจะสร้างดิสนีย์แลนด์

เอาเหอะ เขิลลลลลล  ขอเก็บไว้มีความสุขคนเดียวก่อนนะ

โปรเจคอีกมากมายใหญ่เล็กเต็มไปหมด

แต่มีอันนึง อะเมซิ่งมาก ทำมา 11 ปีแล้วอะ ยังไม่สำเร็จเลย และคงจะยังทำต่อไป

นั่นคือลดน้ำหนักให้เหลือ  44 โล ต้องทำให้ได้ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เขิลนะเนี่ย อายเป็นเหมือนกัน

บอกเค้าทำไมเล่า

อ้อ มีคนบอกว่าเวลาจะทำอะไร ให้พูดออกมาดังๆ คนอื่นเค้าจะได้ช่วยเหลือ (ช่วยเป็นกำลังใจก็ได้นะคะ)

 

 

 

ประมาณนี้ละมั้ง ที่ต้องทำ

 

อ้อ เกือบลืม

พรุ่งนี้แต่งตัวสวยๆ ออกจากบ้านด้วยนะ เคล็ดลับคือเวลาเราสวย เราจะมีความสุข (อันนี้จริงสุดๆ)

เราลองมาแล้ว จิตใจไม่เป็นไร เอาภายนอกก่อนก็พอ 55555 ไปล่ะ

 

สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ ขอให้ตัวเองดีๆ มีความสุข ความเรียบง่าย สิ่งดีๆ คนดีๆ รายล้อมนะจ้าาา


เกือบจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว

ธันวาคม 14, 2008

 

 

ห้องนอนแบบสตูดิโอ ( Studio ) ที่รวมห้องนอน ห้องน้ำ และห้องครัว อยู่ในห้องเดียวกันนั้น

แต่ห้องนี้มีบันไดเล่นระดับแยกห้องน้ำ กับห้องครัวให้แบ่งเป็นสัดส่วนจากห้องนอน

ไฟสีส้มนวลสว่างทั่วห้อง อุณหภูมิอบอุ่นกำลังดี จากเครื่องทำความร้อน

อากาศข้างนอกหนาวจนต้องซุกตัวในผ้าห่มนวมอันหนานุ่ม

บรรยากาศของหน้าหนาวมาเยี่ยมเยียน

เสียงรอบตัวดูเงียบสงบดี  โรแมนติกเหลือเกิน

ผู้หญิงเจ้าของห้อง กำลังอารมณ์ดีอย่างประหลาด

เปิดเพลงสำนวนอังกฤษคลอตามช้าๆ เบาๆ

เวลานี้ต้องจิบชาเท่านั้น ถึงจะเข้ากัน เธอคิด

เธอตัดสินใจจะจิบชาที่คลับคล้ายคลับคราว่าจะเป็นชาอังกฤษ

ถ้าเธอไม่เข้าใจผิดละก็ เธอไม่ค่อยมั่นใจ

ก่อนอื่นใดต้องต้มน้ำร้อนก่อน นั่นคืนกระบวนการแรกสุดของการตระเตรียมชา

เธอลุกขึ้นจากโต๊ะเขียนหนังสือตัวกะทัดรัดที่แสงส่องไม่ค่อยจะถึง

เธอฮัมเพลงเบาๆ ในขณะลงบันไดต่างระดับสามขั้นเล็กๆ ตรงไปยังห้องครัว

 

ก่อนเปิดไฟ

มีเสียง

“ ครึด ครึด ครึด ”

จากห้องครัว เธอเงี่ยหูฟัง

เสียงนั้นหายไปภายในสองวินาที  และเริ่มต้นใหม่

“ ครึด ครึด ครึด ครึด ”

เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่ก็ไม่เบามาก

 

เธอเริ่มหวั่นกลัว

เธอตัดสินใจเปิดไฟก่อนเป็นอันดับแรก เธอต้องใช้ประสาทสัมผัสทางตา ช่วยตัดสินใจ

 ” ครึด ครึด ครึด ครึด…..ครึด ครึด……………………..ครึด ครึด ครึด ”

เสียงนั้นต่อเนื่องมาครึ่งนาทีแล้ว

อะไรอะ เสียงอะไร เธอคิด

มันอยู่ตรงเตาอบ ไม่ใช่สิ มันอยู่ในเตาอบ เธอคิด

 

อาจจะเป็น ” หนู “

สิ่งแรกที่แว๊บขึ้นมาในหัวเธอ

 

เหนือเตาอบมีสวิตซ์สามอัน อันซ้ายเป็นสวิตซ์ไฟ ( รวมถึงแสงสว่างในเตาอบด้วย )

อันที่สองเป็นระยะเวลาของการอบอาหาร

อันสุดท้ายเป็นอุณหภูมิ

ฉันไม่อยากกินหนูอบหรอก ถ้ามันเป็นหนูจริงๆ เธอคิด

“ ครึด……………………..ครึด ครึด ครึด ”

เสียงนั้นเร่งเธอให้ต้องตัดสินใจอะไรซักอย่าง

รวมทั้งเร่งเธอให้หวาดกลัวขึ้นไปอีก

เธอต้องเอื้อมมือให้ใกล้สวิตซ์มากที่สุด

เพราะตัวเธออยู่ไกลจากเตาอบมาก มากเท่าที่เธอจะวิ่งกลับไปทัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น

เธอเลือกหมุนสวิตซ์อันซ้ายสุดแน่นอน

วินาทีนั้น เวลาเกือบหยุดหมุน หัวใจเธอเต้นถี่กว่าคนวิ่งแข่งหนึ่งร้อยเมตร

ไฟสว่าง!!!

 

เสียงนั้นเงียบลงทันใด…

หัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ

เธอมองเข้าไปในเตาอบ กวาดตาดูอย่างถ้วนถี่

ผนังสีดำสี่ด้าน ถาดสี่ดำวางอยู่

ไม่มี ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลย เธอคิด

เสียงหายไปแล้ว แต่ความหวาดกลัวยังอยู่

เธอรออยู่สิบวินาที

สมองเริ่มสร้างภาพต่างๆนานา

เธอตัดสินใจจะดับไฟ แล้วกลับไปซุกตัวในผ้าห่ม น่าจะดีกว่า

ไม่กินแล้ว ชาเชออังกฤษ

 

เธอเอื้อมมือที่เย็น แตะสวิตซ์ดับไฟอย่างรวดเร็ว

“ ครึด ครึด…..ครึด ครึด ”

 

เธอกลับหลังหัน

วิ่งกลับเตียงนอน เร็วที่สุด

กระโดดขึ้นเตียง คว้าผ้าห่มห่มตัว

หัวใจเต้นเร็วกว่าเดิมสามสิบห้าเท่า

เงี่ยหูฟังเสียงนั้น อย่างไม่มีทางเลือก

 

“ ครึด……………………..ครึด ครึด ครึด ”

 

 
.


ทำไมของที่เรารักต้องหาย และคนที่เรารักต้องจากเราไป

ธันวาคม 10, 2008

ทำไมของที่เรารักต้องหาย และคนที่เรารักต้องจากเราไป

คำถามแรกเกิดขึ้นเมื่อสองวันที่แล้ว คำถามหลังเกิดขึ้นวันนี้

ถ้าเราทำมันหายแค่อย่างเดียว เราคงไม่คิดถึงประโยคนี้
แต่เราทำของหายสองอย่างในเวลาเดียวกัน ที่เดียวกัน
เราพยายามหาแล้ว แต่หายังไงก็ไม่เจอ
และนาทีนั้นเรารู้เลยว่าเราจะเสียมันไปตลอดกาล

คำถามหลังเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันนี้
คนที่เรารักต้องจากเราไป
เราไม่ได้พยายามรั้งเค้าไว้ มีเหตุผลมากกว่านั้น ที่เค้าจำเป็นต้องไป
และแน่นอนวินาทีนั้น
เราก็รู้ทันทีว่าเราจะเสียเค้าไปตลอดกาล

เราทำใจได้ ถ้าของหาย
ใช่…เราอาจจะหาของชิ้นนั้นไม่ได้อีก
หรือหาชิ้นที่เหมือนมาทดแทนไม่ได้
แต่เรายอมรับได้ เราเข้าใจได้

แต่อย่างหลัง
เราพยายามทำใจ

พยายาม

พยายาม

เรารู้ว่าไม่มีใครมาแทนที่คนคนนั้นได้
แต่เม่งยากเหลือเกิน
ที่จะให้ยิ้มแล้วพูดว่า ” ดูแลตัวเองนะ ”

ใช่ เราเฮิร์ทแน่นอน

เรา…

อาจจะร้องไห้ไป แล้วพูดประโยคนั้นไป

 

หวังว่า…

เราจะไม่ร้องไห้ตอนพูดนะ

 

หวังว่า…

 

 

 

แต่ทั้งหมดนั้น

 

มันไม่เศร้ามากหรอก

 

น่าดีใจด้วยซ้ำ

 

เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมด

 

เป็นเพราะ…

 

 

เรารักเธอเหลือเกิน

.


กูเข้าใจ

ธันวาคม 1, 2008

เข้าใจ คำนี้คือความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด

เราเพิ่งเข้าใจเมื่อเข้านี้เอง อย่างถ่องแท้ อย่างถ่องแท้ อย่างถ่องแท้ ว่า
คำว่า ” เข้าใจ ” คือความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด

แต่ก่อนเราพูดว่า ” กูเข้าใจ ”
เวลาเพื่อนเล่าความรู้สึกเศร้า เพราะเพื่อนอกหักจากผู้ชายที่รักมาก
“ กูเข้าใจว่ะมึง ใจเย็นๆ ”
กูรู้ว่ากูเข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง แต่กูไม่เคยรู้สึกแบบนั้น
กูเลยคิดภาพตาม แล้วคิดว่าถ้าเป็นตัวเองจะรู้สึกยังไงบ้าง
ใช่เม่งเศร้ามากจริงๆ

แต่เข้าใจมันลึกกว่านั้น
เวลาเราเข้าใจใครจริงๆ
( อาจจะต้องมีคำที่ลึกกว่านี้รึเปล่าไม่รู้ อาจจะเป็น ” เข้าถึงใจ ” )
เราไม่ต้องคิดนี่หว่า
มันมีบางอย่างที่เรารู้สึกว่าเราเข้าใจจริงๆ
อย่างถ้าเพื่อนบอกว่ากูทะเลาะกับพ่อแม่มาว่ะ โคตรเซ็งเลย
เฮ้ย อันนี้กู ( โคตร ) เข้าใจ กูเคย กูมีประสบการณ์
กูไม่ต้องคิดภาพแทนเป็นมึง
ใช่เม่งโคตรรู้สึกเสียใจ เซ็ง เบื่อ รำคาญ อึดอัด อาจจะกรี๊ด หนีออกจากบ้าน

กูเข้าใจ กูเข้าใจ กูโคตรอินนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!เลย

แต่ก่อนจะพูดว่ากูเข้าใจ กูเข้าใจ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ถ้าเราไม่ได้เข้าใจจริงๆ เราจะพูดว่า
“ กูขอโทษว่ะมึง กูนึกออก แต่กูไม่ได้เข้าใจมันจริงๆ
กูเข้าใจเท่าที่สมองและประสบการณ์ที่กูเคยมี แต่กูพยายามเข้าใจนะเว๊ย ”
เพราะเราว่าการเข้าใจใครบางคน มันเหมือนร่วมรู้สึกไปด้วยจริงๆ
มันไม่ต้องมีเหตุผลทุกครั้ง เมื่อเราเข้าใจอะไรบางอย่าง เราจะไม่มีคำถาม
เพราะเราเข้าใจมันแล้วจริงๆ
เราจะรู้สึกแบบไม่ต้องคิดตามเลย
เข้าใจ คำนี้คือความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด

ไม่ต้องการคำถาม คำตอบ
ไม่ต้องการเหตุผล

สมมุติฐานนี้อาจจะใช่
ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าการเข้าใจอะไรซักอย่างอาจจะต้องมีประสบการณ์ร่วม
ยกตัวอย่างเช่น

เราเข้าใจการเป็นพี่สาว มีน้องชาย น้องสาวมันเป็นยังไง
แต่เราไม่อาจเข้าใจถึงการเป็นลูกคนเดียวได้
เพราะเราไม่ได้เป็นลูกคนเดียว เราเป็นพี่คนโตที่มีน้องชาวหนึ่งคน น้องสาวหนึ่งคน

เราเข้าใจว่าคนไทยใช้ชีวิตยังไง มีความเชื่ออะไร เคารพในอะไร
แต่เราไม่อาจเข้าใจคนฝรั่งได้
เพราะเราใช้ชีวิตมาแบบไทยๆ(ปนจีนบ้าง) อยู่ในไทย มีคนแวดล้อมเป็นคนไทย

เราเข้าใจคนกลัวสัตว์อะไรมากๆ แบบกรี๊ดแตก วิ่งหนีสุดๆ
บ้าได้แม้สัตว์ตัวนั้นอยู่ไกลโคตร
แต่เราไม่อาจเข้าใจคนกลัวความสูง
เพราะเรากลัวแมลงสาบมาก โคตรโคตร กรี๊ดแตกได้ แต่เราเฉยๆกับการขึ้นที่สูง

อาจจะจริงแฮะ
ตามสมมุติฐาน

เรามีเพื่อนที่เป็นลูกคนเดียวหลายคน
เราฟังมันเล่าถึงครอบครัว พ่อแม่เลี้ยงมายังไง เหงายังไง
แต่เราก็ไม่เข้าใจความรู้สึกการเป็นลูกคนเดียวอยู่ดี (หมายถึงในความรู้สึกอะนะ)

เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ฝรั่ง เรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่ง เรียนรู้วิธีคิดฝรั่ง แต่เราก็ไม่เข้าใจ
แต่เราก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของการเป็นฝรั่งอยู่ดี

เรารู้ว่าจักโรคกลัวความสูง เราสนิทกับคนกลัวความสูง
แต่เราก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลัวความสูงอยู่ดี
(เรานี่ตัวชอบเล่นพวกสูงๆเลย คลั่งไคล้สุดๆเลยอะ)

เหมือนกับคิดตามได้ แต่รู้สึกตามไม่ได้
เพราะความรู้สึกมันต้องเกิดเองน่ะ มันสร้างไม่ได้

นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าเวลาเราเข้าใจอะไรจริงๆ
เราจะไม่สงสัย ไม่หงุดหงิด ไม่รำคาญ เราจะเปิดกว้าง ยอมรับ
มันอัตโนมัติ Reaction ของคำว่าเข้าใจ

เรารู้ว่าเราไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้
เพราะเรารู้ว่าทุกอย่าง ทุกสิ่ง มีเหตุผล มีเบื้องหลัง และคนทุกคนก็มีความคิดของตัวเอง
เราจึงพยายามทำตัวให้…ใกล้คำว่าเข้าใจมากที่สุด
โดยการเงี่ยหูฟังสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดออกมา ฟังอย่างตั้งใจ
ก่อนจะตัดสินอะไรจากประสบการณ์ที่น้อยนิด และสมองอันเล็กจิ๋ว นั่นน่าจะดีที่สุด

การไม่เข้าใจอาจจะไม่ใช่ปัญหาเลย
ถ้ามีคำว่าพยายามเข้าใจ นำหน้ามา


โลกของสิงโต

พฤศจิกายน 4, 2008

 

โลกเป็นของใคร

คำตอบที่นึกได้ก็คือโลกเป็นของทุกคน
แต่พออีกสองวินาทีก็มีอีกคำตอบแว๊บขึ้นมาว่า
เป็นของผู้ที่มีอำนาจมากกว่าต่างหาก
ไม่ค่อยอยากจะเชื่ออย่างนั้น
ถึงแม้ว่าจะต้องเชื่อก็ตาม

ธรรมชาติได้สร้างความหลากหลายขึ้นมา
อาจจะเพราะเหตุผลหลายอย่าง
การแบ่งหน้าที่ การพึ่งพาอาศัย ความสมดุลย์
หรืออะไรก็ตาม
เชื่อว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง
แล้วก็ให้อำนาจติดตัวสิ่งเหล่านั้นมาด้วยในเวลาเดียวกัน

กวางสู้สิงโตไม่ได้ เพราะธรรมชาติกำหนดบทบาท หน้าที่
และแฝงซึ่งความสามารถมาแล้ว
หรือที่ตอนป.6 เราเริ่มรู้ว่านี่คือห่วงโซ่อาหาร
ก็ไม่ติดใจอะไร
เพราะไม่ใช่ทั้งกวาง และสิงโต
แต่สิ่งที่ติดใจตอนนั้นคือ
พ่อสอนว่าเรียนให้เก่งๆนะ จะได้เอาตัวรอดได้
ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าถ้าไม่เรียนไม่เก่งเนี่ยจะเอาชีวิตรอดไม่ได้เลยหรือ

เวลาผ่านไป
ช่วงเวลาแห่งกระโปรงบาน ขาสั้นก็ได้รู้ว่า
ห้องคิงส์ ห้องควีน ห้องธรรมดา มีจริง
(จะชื่อห้องแจ๊คก็ไม่ได้ คงเพราะห้องแจ๊คมันไม่ได้สำคัญไงเล่า
ใครจะไปจดจำ ใครจะไปตั้งชื่อให้ )

ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม มีจริง ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง มีจริง
เค้ามีแค่สามเหรียญเท่านั้นแหละจ้า
โรงเรียนสอนให้รู้จักมากกว่าห่วงโซ่อาหารแล้ว
“เป็นกวางไม่ได้แล้วกู ต้องเป็นเสือเท่านั้น”

การทำงานก็ย้ำเรื่องนั้นมากขึ้น
เจ้านาย ลูกน้อง มีจริง
ผู้ปกครอง ผู้ถูกปกครองมีจริง
ในสเกลโลกซับซ้อนกว่าในโรงเรียน และประเทศอีก
ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา ประเทศด้อยพัฒนา มีจริง
คนขาว คนดำ คนเอเชีย มีจริง

เรื่องความแตกต่างมีผลมาก และอำนาจก็มีผลมากเช่นกัน
โลกหมุนโดยผู้มีอำนาจ ผู้ที่อยู่สูงกว่า
ถ้าคุณไม่อยู่สูง คุณก็จะอยู่ต่ำ
จริงๆแล้วชนชั้นกลางอะไรนั่น
เหมือนเป็นคำปลอบใจที่สร้างขึ้นเพื่อประนีประนอมกันมากขึ้น

แต่ก็โชคดีนะเนี่ย เพราะเคยได้เป็นกวางบ้าง เป็นสิงโตบ้าง

โตมาถึงตอนนี้
แน่นอน!!! เราเลือกแล้ว
ว่า

เราจะเป็นสิงโต
ไม่ใช่แค่สิงโตตัวหนึ่งเท่านั้นนะ

แต่จะเป็นสิงโตตัวที่เก่งที่สุดด้วย

แต่ลึกๆแล้ว

เราว่า
.
.
.
เราอยากเป็นกวางมากกว่าแหละ


รู้จักฉัน รู้จักเธอ

ตุลาคม 29, 2008

เมื่อเราเจอใครซักคนครั้งแรก

คำถามแรกๆคงหนีไม่พ้น

เธอชื่ออะไรหรอ

เรียนที่ไหนอะ

ทำอะไรอยู่

ทำงานอะไร

บ้านอยู่ไหน

ก็เลยลองคิดเล่นๆดูว่า….อยากจะถามอะไรนอกจากนี้

คำตอบคือ…

มากมายเชียวล่ะ

 

 

ถ้าให้ถามคำถามคนที่เราอยากรู้จักเค้าได้หนึ่งข้อ จะถามว่าอะไรนะ

แล้วจะแนะนำตัวว่ายังไง

 


รักครั้งแรกของฉัน

ตุลาคม 24, 2008

วันนี้มีความสุขเหมือนกันนะเนี่ย

เพราะคิดไว้แล้วว่าจะมีความสุข

.

.

 

 

ได้โทรหาหม่าม๊าแล้ว

หม่าม๊าดันบอกว่าม๊าต้มรากบัวอยู่

มีไรรึเปล่า

ต้องดู เพราะน้ำกำลังเดือด

โหย! เซ็งเลย

 

กะซึ้งเต็มที่!!!

 

ก็เลยถามว่า “ม๊าวันนี้วันอะไร”

“วันศุกร์”

อ้าวเป็นงั้นไป

 

แล้ว..

หม่าม๊าก็พูดว่า

“ขอให้มีความสุขมากๆ ..ตั้งใจเรียน ..แล้วจะได้หาเงินได้เยอะๆน้า”

.

.

.

.

.

.

.

“รักหม่าม๊านะ”

 

คำว่ารักออกมาจากปากยากจัง

คงเพราะว่าไม่ได้พูดคำนี้นานเกินไป แล้วก็ตื้นตันด้วย

แต่ก็ได้พูดแล้ว

ดันซึ้งจนลืมถามว่าเนื้อสดดูยังไงเลย!!!


ชิงเอง

ตุลาคม 23, 2008

เมื่อสองวันก่อนไปชิงซูเปอร์มาเก็ตมา

ซื้อผักแบบเดิมกับที่ซื้ออาทิตย์ที่แล้ว อาทิตย์ก่อนหน้านั้น เดือนก่อนด้วย

ซื้อเนื้อแบบเดิมด้วย หนีไม่พ้นปีกไก่บาร์บีคิวที่ปรุงแล้ว

แค่ยัดใส่เตาอบเท่านั้นเองอะ

ซื้อไข่สิบห้าฟองเท่าเดิมด้วย

ตอนหยิบนี่ไม่อยากจะมองเลย

แบบว่าเบื่อจัด ทุกอย่างเหมือนเดิม ทุกอาทิตย์ 555

ถ้าม๊ามาเห็นต้องขำแน่นอน

เมื่อวานทำเมนูใหม่แล้ว “ข้าวโพดอ่อนผัดไส้กรอก”

เมนูคิดเอง ก็โอเค แบบพิลึกๆนิดนึง

ม๊า ! เวลาเลือกเนื้อสด นี่มันเลือกยังไงอะ

เนื้อมันต้องแดงๆใช่เปล่า เลือกไม่เป็นเลย

เลยเลือกอันที่เยอะสุดแทน

ยังฉลาดอยู่

หวังว่าคงไม่ใช่อันที่ใกล้เสียแล้วอะนะ

 

อยากให้ม๊ามาเห็น

ตอนที่เค้าทำกับข้าว

แล้วม๊าจะภูมิใจแน่นอน

ไม่ใช่แค่กินเป็นแบบเมื่อก่อนแล่ววววว

ตอนนี้ทอดไข่ดาวสวยยยยมาก (อวดๆ)

.

.

.

.

 

 

 

คิดถึงหม่าม๊าจังเลย

.

.

สิ่งแรกที่ชิงจะทำในวันพรุ่งนี้ก็คือโทรหาหม่าม๊า

จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง

แล้วจะถามว่าดูเนื้อที่สดดูยังไงด้วย


ความรู้สึกของฉันที่มีพวกเธออยู่ด้วยกันอีกหลายคนบนโลกใบนี้

ตุลาคม 20, 2008

วันเสาร์ที่ผ่านมาที่กะจะออกไปเที่ยวก็เลยอดเลย

เพราะได้รับพัสดุก่อนออกจากบ้าน

เลยเปลี่ยนใจ โดดขึ้นเตียง เปิดอ่านทันที

อ่านไป ยิ้มไป

รวมทั้งอ่านไปร้องไห้ไปด้วย

แต่ไม่ต้องห่วงไม่ได้ร้องมาถึงตอนนี้หรอกน่า

 

ทุกคนเล่าเรื่องได้เศร้าโคตรๆ

ทำให้คนอ่านเกิดอาการโคตรเศร้า

555 สองประโยคบนล้อเล่น ล้อเล่น

แต่แบบว่าโคตรปลื้มเลยอะ

มีความสุขมากมาก

มากกกกกกกจริงๆด้วย

เลยน้ำตาไหลนิดหน่อย(เขินนะเว๊ย)

จริงๆก็เยอะอยู่

 

 

ขอบคุณมากค่ะ

ความตั้งใจทุกประโยคถูกส่งมาถึงชิงอย่างสมบูรณ์

 

ขอบคุณมากมากเลย

 

เป็นของขวัญวันเกิดที่โคตรดีเลยจริงๆ

ขอบคุณทุกคน

 

ขอบคุณพี่จุ๋ม ขอบคุณฝันกลางวัน ขอบคุณพี่เอี้ยง ขอบคุณฮิม ขอบคุณต้อม ขอบคุณเจ้าหญิงฟิโอน่า ขอบคุณสิ

ขอบคุณทุกๆคนที่ทำมันขึ้นมา

 

 

ชิงชิง


ไข่ดาวหนึ่งร้อยฟอง จักรยานหนึ่งร้อยครั้ง

ตุลาคม 17, 2008

1

เมื่อสองเดือนที่แล้วเป็นจุดเริ่มต้นของการทำไข่ดาว ฉันทำกิน ฉันกินเอง ฉันทำกินเกือบทุกวัน

ฉันจำไม่ได้ว่าก่อนสองเดือนที่ผ่าน ฉันตอกไข่ใบสุดท้ายเมื่อไหร่

โอ้!  รู้สึกว่านานมาก

แต่สองเดือนที่ผ่านมา น่าจะเกินหนึ่งร้อยฟองเลยทีเดียว (ไม่โม้ๆ)

 

ตอนนี้..

รู้ว่าตอกไข่ยังไงให้ไข่แดงไม่แตก

รู้ว่าต้องใช้ไฟขนาดไหน ถึงจะเป็นไข่ดาวยางมะตูม

รู้ว่าการไม่ใช้น้ำมันทอดไข่ ไข่จะสวยแบบเนียนๆ

รู้ว่าการใช้น้ำมันนั้น ขอบไข่จะฟูๆ กรอบๆ

และอีกมากมาย

ตอนนี้สามารถทอดไข่ได้สวยอย่างใจต้องการบนกระทะเทฟลอน(กระทะที่ไม่ต้องใช้น้ำมันนั่นไง)

 

ไม่เคยนึกว่าตัวเองทอดไข่เป็นไหม

เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็ทำได้ แต่ไม่รู้ว่าจะหน้าเป็นไงนะ

แต่วันนี้ทำเป็น   เอาแบบไหน สั่งเลย จัดให้

(นั่น!เชื่อยังเล่า)

 

2

วันก่อนไปสวนสาธารณะ

เห็นเด็กชาย และเด็กหญิงหลายคนกำลังขะมักเขม้นหัดขี่จักรยาน

บางคนล้ม แล้วก็ยืนขึ้นมา ลองขี่ใหม่

บางคนล้ม ร้องไห้ แต่ก็ยืนขึ้นมา ลองขี่ใหม่เช่นกัน

เด็กน้อยล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างที่ฉันเคยล้มมาแล้ว

เด็กน้อยจะถูกทดสอบโดยการพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า

อย่างที่ฉันเคยถูกทดสอบมาแล้ว

 

วันหนึ่งเด็กน้อยเหล่านั้นก็จะรู้ว่าทำยังไงพวกเขาจะขี่มันเป็น (มองด้วยแววตาเอาใจช่วยสุดขีดดดด)

 

3

ฉันเคยทำบางอย่างไม่เป็น

แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ทำอะไรๆเป็นมากขึ้น

ฉันว่ายน้ำเป็น

ฉันขี่จักรยานเป็น

ฉันเล่นโรลเลอร์เบลดเป็น

ฉันวาดรูปเป็น

ฉันถ่ายรูปเป็น

และอีกมากมายที่ฉันทำเป็น

และก็มีลิสต์อีกยาวเหยียดที่ฉันอยากจะทำเป็น

 

ฉันกลัวว่าบางอย่างฉันอาจจะทำไม่ได้

ใช่! ฉันอาจจะทำไม่ได้ในครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งสาม

 

แต่ฉันรู้ว่า…

 

 

 

อะไรที่ฉันทำซ้ำๆ

.

.

.

.

ฉันก็จะทำเป็น

 


ฉันคือกระดาษ ยางลบ สบู่ ดอกไม้

ตุลาคม 9, 2008

ฉันเก็บกระดาษเขียนจดหมายน่ารักๆ เพราะมันน่ารักเกินกว่าจะเขียน
ฉันเก็บยางลบรูปเป็ด เพราะมันน่ารักเกินกว่าจะลบ
ฉันเก็บดอกไม้ที่มีคนให้มาก่อนมันจะบาน เพราะมันสวยเกินกว่าจะเหี่ยว
ฉันเก็บโปสการ์ดใบสวย เพราะมันสวยเกินกว่าจะเขียน
ฉันเก็บตุ๊กตาตัวโปรด เพราะมันน่ารักเกินกว่าจะสกปรก
ฉันเก็บสบู่รูปเมฆ เพราะมันน่ารักเกินกว่าจะถูตัว
ฉันเก็บรองเท้าคู่หรู เพราะมันสวยเกินกว่าจะสวมใส่
ฉันเก็บกระเป๋าใบแพง เพราะมันสวยเกินกว่าจะใส่ของ
ฉันเก็บขนมสีหวาน เพราะมันน่ารักเกินกว่าจะกิน
ฉันเก็บทุกอย่างไว้ในลิ้นชัก
โชคดีที่ลิ้นชักไม่สวยมาก เลยไม่ได้เก็บลิ้นชักไปด้วย

วันหนึ่งฉันหยิบกระดาษเขียนจดหมายแผ่นนั้นขึ้นมาเขียน

ฉันหยิบยางลบรูปเป็ดขึ้นมาลบ

ฉันหยิบตุ๊กตาตัวโปรดขึ้นมากอด

ฉันถูตัวด้วยสบู่รูปเมฆ

ฉันใส่รองเท้าคู่หรูออกจากบ้าน พร้อมกับสะพานกระเป๋าใบแพง  

ฉันส่งโปสการ์ดใบสวยให้เพื่อน

ฉันเคี้ยวขนมสีหวาน

ฉันนั่งดูดอกไม้ดอกใหม่(ที่ได้มา)กำลังจะบาน

 

ฉันมีความสุขกว่าตอนที่เก็บพวกมัน

ฉันไม่เก็บพวกมันไม่ได้หมายความว่ามันมีค่าน้อยลง
หากแต่ว่ามันมีค่ามากขึ้น

 

ฉันเพิ่งเข้าใจว่า…

ทุกอย่างมันมีหน้าที่
มันจะเป็นมันก็ต่อเมื่อมันได้ทำหน้าที่นั้น

 

“ ยางลบ ถ้าเก็บไว้ก็ไม่เป็นยางลบ ”


ว่าเราจะเปลี่ยนไปมั้ย

ตุลาคม 8, 2008

 

เคยกลัวว่าเราจะเปลี่ยนไปมั้ย

 

วันนี้เราเป็นแบบนี้ พรุ่งนี้เราจะเป็นอีกแบบหนึ่ง

 

 

ใครบางคนบอกว่าจะกลัวไปทำไม

เราไม่มีวันควบคุมความคิด หรือความเชื่อเราได้อยู่แล้ว

 

 

ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ว่าเราเปลี่ยนไปทุกๆวัน

เราตอนนี้กับเราเมื่อกี้นี้ก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด

 

 

ถ้าเราเปลี่ยนไปในเรื่องทั่วไปอย่างเมื่อวานเราชอบสีเหลือง

แต่วันนี้เราชอบสีเขียว

ก็คงไม่รู้สึกอะไรมาก

อาจจะรู้สึกแค่ว่าเออเราเปลี่ยนไปว่ะ

 

 

ถ้าความเชื่อแก่นยังอยู่ เราอาจจะไม่กลัว

เพราะเรายังอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของเราอยู่

แต่ถ้าสิ่งนั้นมาคลอนความเชื่อของเราจนเราเอนเอียง

และเริ่มสงสัยในความเชื่อเดิมของเรา

ความรู้สึกนี้น่ากลัว

 

 แต่ก่อนเราอาจเคยเชื่อในรักแท้ แต่เมื่อเราพิสูจน์มัน อาจจะประสบการณ์ หรือด้วยตัวเองก็ตาม

เราคิดว่ามันไม่มีรักแท้

เรากำลังจะไม่เชื่อในรักแท้

เรากำลังจะเปลี่ยน

ช่วงเวลานี้เองที่มันน่ากลัว

เพราะเราไม่อยากเปลี่ยนความเชื่อนี้

แต่เรารู้ว่าวันหนึ่งเราจะเปลี่ยนไป ไม่เชื่อแบบเดิมอีก

 

โลกนี้มีเรื่องต่างๆมากมายที่เราต้องเลือกที่จะเชื่อ

ความเชื่อก่อตัวเป็นเรา

เราดำเนินชีวิตตามความเชื่อของเรา

  

แต่เราก็ไม่สนใจโลกภายนอกไม่ได้

เพราะเราเติบโตมาจากประสบการณ์ เติบโตมาจากความคิดภายนอก

เราไม่ได้เติบโตมาจากตัวเอง

 

ใครบางคนบอกว่าเราเลือกจะเชื่อได้

 

ใช่ เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งนั้น

 

 

ฉันทำอยู่

 

ฉันกำลังทำ

 

ฉันกำลังเลือกความเชื่อของฉันอยู่

 

 

  ฉันไม่อยากจะเปลี่ยนไป ฉันกลัว …